“กินเนื้อไร้เนื้อ” หรือ Plant-based Diet

“กินเนื้อไร้เนื้อ” หรือ Plant-based Diet

“กินเนื้อไร้เนื้อ” หรือ Plant-based Diet เป็นเทรนด์การกินแบบหนึ่งที่กำลังมาแรงแซงโค้งทุกเทรนด์ในตอนนี้ เอ๊ะ! ว่าแต่การ “กินเนื้อ” แต่ “ไร้เนื้อ” นี่มันเป็นยังไงกันแน่ ตกลงกินเนื้อได้หรือเปล่า หรือว่ามันคือมังสวิรัติประเภทหนึ่ง วันนี้ King Organic จะมาไขข้อข้องใจ และพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับเทรนด์การกินแบบใหม่ที่กำลังจะเป็นกระแสแห่งอนาคตกันค่ะ
“เนื้อไร้เนื้อ” หรือ “Plant-based Diet” คืออะไร
เทรนด์ “เนื้อไร้เนื้อ” หรือ Plant-based Diet หรือบางคนก็เรียกว่า Plant-forward Eating คือแนวทางการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นพืชเป็นหลัก แนวทางนี้ไม่ได้ห้ามกินเนื้อ แต่เน้นการกินพืชผักในปริมาณมากและหลากหลาย คืออย่างน้อย 95% ของอาหารที่บริโภคทั้งหมดต้องมาจากพืช ซึ่งพืชที่ว่านี้ก็ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะผักหรือผลไม้ แต่ยังรวมถึงพืชตระกูลถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อเทียม หรือโปรตีนทดแทนที่ได้จากพืชด้วย นอกจากนี้ยังเน้นการกินอาหารที่สดใหม่ ปราศจากการปรุงแต่ง และลดอาหารแปรรูปให้เหลือน้อยที่สุด จึงได้รับการยอมรับว่าดีต่อสุขภาพ และมีข้อดีกว่าเทรนด์อื่นๆ ตรงที่มีความยืดหยุ่น ไม่เน้นหรือจำกัดอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากจนเกินไป จึงไม่เป็นแนวทางการกินที่สุดโต่งจนร่างกายรับไม่ไหว และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วนด้วยค่ะ
“เนื้อไร้เนื้อ” ใช่ “มังสวิรัติ” หรือเปล่า
การกินแบบ Plant-based ไม่ใช่มังสวิรัติ เพราะไม่ได้ห้ามกินเนื้อหรือไข่ เพียงแต่เน้นการกินพืชหรืออาหารที่ทำจากพืชในปริมาณมาก และในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ คือ ไม่สกัด ไม่ขัดสี และลดการกินอาหารแปรรูปให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์นั้น สามารถกินได้บ้าง แต่ไม่ควรเกิน 5% ของอาหารที่บริโภคในแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้การกิน “เนื้อเทียม” หรือโปรตีนทดแทนที่ทำจากพืชจึงเป็นทางเลือกที่ดีของผู้ที่กินตามแนวทางนี้ เพราะจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับมื้ออาหาร และควบคุมปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ให้มีมากเกินไป
ไม่กินเนื้อแล้วกินอะไรได้บ้าง
หลายคนคงยากจะตัดใจจากเนื้อแสนอร่อย ดังนั้น จึงมีบริษัทหัวใสคิดค้นเนื้อทดแทนที่ทำจากพืชขึ้นมา ซึ่งหลายแบรนด์ก็ทำได้ใกล้เคียงกับเนื้อจริงๆ แถมยังอร่อยซะด้วย! เพราะฉะนั้นพวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอดกินเนื้ออร่อยๆ หรือได้รับโปรตีนไม่เพียงพอนะคะ เพราะบริษัทอาหารเค้าได้คิดคำนวณเรื่องนี้ไว้เสร็จสรรพแล้วนั่นเองค่ะ สำหรับแบรนด์เนื้อทดแทนที่ว่ากันว่าทำออกมาได้ใกล้เคียงธรรมชาติและรสชาติอร่อยก็เช่น Impossible Food และ Beyond Meat แบรนด์หลังนี้ได้ข่าวว่ามีคนดังอย่างบิล เกตส์ และลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ เป็นผู้ร่วมลงทุนซะด้วย ใครสนใจก็ลองไปเสิร์ชหากันดูนะคะ ส่วนในเมืองไทย เนื้อทดแทนที่หาได้ง่ายก็คงหนีไม่พ้นเนื้อเทียมหรือที่เรารู้จักกันในชื่อโปรตีนเกษตรนั่นเองค่ะ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าเนื้อเทียมหรือเนื้อทดแทนคืออะไร ขอบอกว่ามันเป็นอาหารที่มีลักษณะโครงสร้างและเนื้อสัมผัสคล้ายกับเนื้อสัตว์ ผลิตจากโปรตีนไข่ โปรตีนถั่วเหลือง ปลา หรือธัญชาติ เช่น โปรตีนกลูเตนจากข้าวสาลี และอาจผสมโปรตีนจากน้ำนมเพื่อให้มีคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ (ธัญชาติ หมายถึง พืชตระกูลหญ้าที่ใช้เมล็ดเป็นอาหาร เช่น ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ้ต ข้าวไรย์ ข้าวบาร์เล่ย์ ฯลฯ)
ประโยชน์ของ Plant-based Diet
การกินตามแนวทาง Plant-based นั้น มีประโยชน์หลายประการด้วยกัน เช่น ช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจ อัลไซเมอร์ เบาหวานประเภทสอง คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน ฯลฯ ช่วยเพิ่มสมรรถนะของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วกว่าการกินเนื้อสัตว์ ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง เลือดไม่ข้นเกิน การสูบฉีดโลหิตดี สร้างกล้ามเนื้อได้ดี และที่สำคัญคือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและชีวิตสัตว์
จะหาแหล่งโปรตีนทดแทนจากไหน
โดยปกติแล้ว ร่างกายคนเราต้องการโปรตีนอย่างน้อยวันละ 50 กรัม สำหรับผู้หญิง และ 60 กรัม สำหรับผู้ชาย เนื่องจากการกินแบบ Plant-based เน้นการกินพืชในปริมาณมากแต่จำกัดการกินเนื้อ จึงจำเป็นต้องหาแหล่งโปรตีนทดแทนเพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนในแต่ละวันอย่างเพียงพอ ซึ่งทางเลือกหนึ่งก็คือ “เนื้อเทียม” หรือ “เนื้อทดแทน” อย่างที่บอกไปแล้ว
แต่นอกเหนือจากนั้น โปรตีนจากพืชและโปรตีนจากสัตว์ยังมีความแตกต่างกัน โปรตีนจากสัตว์ เช่น นมและไข่ เป็นโปรตีนสมบูรณ์ ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน ในขณะที่โปรตีนจากพืชส่วนใหญ่เป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์​ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่เลี่ยงการกินโปรตีนจากสัตว์ หันมากินถั่ว ธัญพืช และผักผลไม้ให้หลากหลายมากขึ้น หรือเลือกกินโปรตีนจากถั่วเหลืองซึ่งมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนเป็นหลัก สำหรับพืชชนิดอื่นๆ ที่อุดมด้วยโปรตีน ก็เช่น อะโวคาโด มะพร้าว ถั่วดำ ลูกบัว ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เมล็ดควินัว เป็นต้น
เทรนด์นี้จะฮิตอีกนานแค่ไหน
ในงาน Fi Asia 2019 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารพบว่า ในปี 2018 ตลาดอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีมูลค่าราว 86,648 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2019 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 88,731 ล้านบาท หรือขยายตัว 2.4% โดยกลุ่มโปรตีนจากพืชและนมพืช จะมีมูลค่าประมาณ 6,725 ล้านบาท หรือขยายตัว 6.4% นอกจากนี้ “เนื้อไร้เนื้อ” หรือ “Plant-based Food” ยังจะกลายเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ไม่สร้างมลพิษในขั้นตอนการผลิต และดีต่อสุขภาพซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน จึงค่อนข้างแน่ว่าเทรนด์นี้จะยังฮิตติดลมบนไปอีกนาน แต่ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่าพืชผักที่บริโภคต้องเป็นพืชผักที่สดสะอาด ปลอดภัย ไร้สารเคมีด้วย ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการกินเพื่อสุขภาพที่ดีอย่างแท้จริงนะคะ
King Organic ผู้นำด้านผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคมาตรฐาน USDA และ EU Organic สะอาด ปลอดภัย มั่นใจ 100%
📱Line ID: @kingorganic
☎️โทร : 086-317-5304, 034-874-293
รายการสินค้าออร์แกนิค https://sites.google.com/kingfreshfarm.com/kingorganic/home